การจัดการความรู้ในโรงเรียนรุ่งอรุณ
ศ.นพ. วิจารณ์ พานิช (20 พ.ค.48)
เมื่อวันที่ 11 พ.ค.48 ผมไปประชุมใหญ่ประจำปีของมูลนิธิโรงเรียนรุ่งอรุณ มูลนิธินี้มี
ศ.นพ. ประเวศ วะสี เป็นประธานกรรมการ ตัวโรงเรียนมี รศ. ประภาภัทร นิยม เป็นผู้อำนวยการ นอกจากโรงเรียนแล้วทางมูลนิธิกำลังก่อตั้งสถาบันอุดมศึกษา ชื่อว่า สถาบันอาศรมศิลป์ ผมฟังรายงานกิจกรรมทั้งของโรงเรียนและของสถาบันก็ถึงบางอ้อ ว่าคนกลุ่มนี้กำลังดำเนินการจัดการความรู้อย่างขะมักเขม้นและสภาพขององค์กรเป็นองค์กรเรียนรู้อย่างชัดเจน เรามีองค์กรเรียนรู้ (Learning Organization) เป็นตัวอย่างอีก 1 แห่งแล้วนะครับ โรงเรียนอื่น ๆ และมหาวิทยาลัยอื่น ๆ เน้นที่การ “สอน” ละเลยการ “เรียน” หรือไม่จัดกิจกรรมเพื่อการเรียนไม่ออกแบบการเรียน นี่คือจุดอ่อนในวงการศึกษา ที่ รร.รุ่งอรุณและสถาบันอาศรมศิลป์ภายใต้การนำของ รศ.
(1) ครูร่วมกันออกแบบการเรียนรู้ของนักเรียน
การเรียนรู้ในแต่ละปีการศึกษาจะไม่เหมือนกัน ที่จริงผมเดาว่าลึก ๆ แล้วมีส่วนที่เหมือนมากกว่าไม่เหมือน ส่วนที่เหมือนคือสาระ ส่วนที่ต่างคือวิธีการ การที่ครูทุกคนต้องร่วมกันออกแบบการเรียนรู้ของนักเรียนเป็นทีม ๆ นี้ มองในมุมหนึ่งก็คือ Team Learning นั่นเอง เรียนการเรียนรู้ของทีมครู โดยอาศัยการปฏิบัติงานประจำของตน คือทำให้การปฏิบัติงานประจำเป็นการเรียนรู้ ผมได้ยินมาว่าตอนตั้ง รร. รุ่งอรุณใหม่ ๆ ครูทนไม่ไหว ลาออกไปหลายคน แต่ตอนนี้ครูมีทักษะนี้แล้ว กลายเป็นสภาพการทำงานที่สนุก เพราะต้องคิดอยู่ตลอดเวลา ที่สำคัญคือช่วยกันคิด ท่านที่ต้องการเห็นร่องรอยการออกแบบการเรียนรู้ของนักเรียนต้องไปอ่านเอกสารเผยแพร่ของ รร. รุ่งอรุณ ที่ทำออกมาเป็นระยะ ๆ หรือต้องไปสัมผัสโดยตรงจะยิ่งดี
(2) เรียนรู้ทั้งจากตำราและจากของจริง เหตุการณ์จริง เอกสาร
“บทสรุปการดำเนินงานกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยสึนามิ โครงการร่วมมือ...สานฝัน...อันดามัน...ฟื้น ระหว่างเดือนมกราคม – พฤษภาคม 2548 มูลนิธิโรงเรียนรุ่งอรุณ” ผสานกับคำอธิบายของ รศ. ประภาภัทร ทำให้ผมเห็นว่า ร.ร.รุ่งอรุณและสถาบันอาศรมศิลป์ใช้การเข้าไปดำเนินการ “ร่วมมือ – สานฝัน” กับผู้ประสบภัยสึนามิเป็น “ห้องปฏิบัติการ” เพื่อการเรียนรู้จากสภาพชีวิตจริงของผู้คน โดยเฉพาะผู้คนที่ประสบความทุกข์ยากจากภัยพิบัติ เมื่อเข้าไปเรียนแล้วก็ถ่ายทอด Tacit knowledge ของแต่ละคนออกมาเป็นบันทึก มีการรวบรวมสรุป นำมาร่วมกันตีความและต่อยอดความรู้อย่างต่อเนื่อง เท่ากับเป็นการหา “กิจกรรม” ให้ครู ผู้ปกครอง และนักเรียนได้เรียนรู้ร่วมกัน
(3) เรียนรู้จากทุกกิจกรรมที่ตนดำเนินการ
อาศรมครูรุ่งอรุณ (Teacher Training Centre) ซึ่งผมแนะนำให้เปลี่ยนชื่อภาษาอังกฤษเป็น Teacher Learning Centre เพื่อให้ตรงกับสิ่งที่ทำอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกระบวนทัศน์ใหม่ ว่าการพัฒนาบุคลากรขององค์กรควรใช้ learning mode ไม่ใช่ training mode ความมีชื่อเสียงของวิธีการจัดการเรียนรู้แบบรุ่งอรุณ ทำให้หลายโรงเรียนมาดูงานและต้องการฝึกฝนวิธีการเพื่อนำไปปฏิบัติในโรงเรียนของตน ที่น่าสนใจที่สุดคือเทศบาลนครขอนแก่น ผู้บริหารตั้งแต่นายกเทศมนตรีลงมา มีความเอาจริงเอาจังในการปฏิรูปการเรียนรู้ในโรงเรียน 11 แห่งในสังกัดมาก และศรัทธาในวิธีการแบบรุ่งอรุณ ถึงขนาดมีการลงนามในสัญญาความร่วมมือจัดการฝึกอบรมครูในสังกัด โดยสถาบันอาศรมศิลป์ให้บริการการฝึกอบรมเป็นกิจกรรมต่อเนื่อง ในกิจกรรมนี้อาจารย์ของสถาบันก็สั่งสมความรู้และประสบการณ์ในการให้บริการจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาครู รศ. ประภาภัทรกล่าวว่ากิจกรรมนี้เป็นแหล่งรายได้ที่ดีช่องทางหนึ่งของสถาบันฯ และเป็นกิจกรรมที่ทำให้อาจารย์ของสถาบันเกิดการเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กัน
(4) มีการจดบันทึก สำหรับเก็บไว้ใช้งานต่อ
กรณีอาศรมครูรุ่งอรุณมีเอกสาร“กองทุนอบรมสัมมนา” จดบันทึก tacit knowledge ที่เกิดขึ้นจากการอบรม คือจดไว้ในรูปของคำพูดของคนที่ผ่านเหตุการณ์มา ทีมงานของมูลนิธิโรงเรียนรุ่งอรุณดูจะเก่งเป็นพิเศษในการ “จัดการ” ความรู้แบบฝังลึกนี้ โรงเรียนรุ่งอรุณจัดการความรู้ลึกมาก โดยจุดสำคัญคือจัดการความรู้ไว้ใช้เอง ไว้พัฒนากิจการของตนเอง ผลที่เห็นคือผลงานสร้างสรรค์ของนักเรียนมีคุณภาพสูงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะมีการต่อยอดความรู้จากนักเรียนรุ่นก่อน ๆ
(5) มีการนำความรู้กลับมาใช้ใหม่ การ “รีไซเคิล” ความรู้
ทำให้ทั้งครูและนักเรียนของโรงเรียนรุ่งอรุณและอาศรมศิลป์เก่งขึ้นเรื่อย ๆ มีผลงานดีขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากมีการ “ต่อยอด” จากทั้งความรู้จากประสบการณ์ของตนเอง และจากประสบการณ์ของคนอื่น
ศ.นพ. วิจารณ์ พานิช 13 พ.ค.48
จาก เว็บไซต์ http://blog-for-thai-km.blogspot.com/2005/05/blog-post_20.htmlหรือ www.kmi.or.th ของ สถาบันการจัดการความรู้เพื่อสังคม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น